แมงกะพรุนอิรุคันจิ แมงกะพรุนประหลาดตัวเล็กแต่มีพิษร้ายแรงมาก
ก็คือแมงกะพรุนประหลาดอีกชนิดหนึ่งที่ดูแล้วมันไม่เหมือนแมงกะพรุนทั่วๆไปมันมีตัวเล็กมากใสแถมเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษอยู่ด้วย
แมงกะพรุนอิรุคันจิ (อังกฤษ: Irukandji jellyfish) เป็นชื่อสามัญแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดจำพวกหนึ่งของโลก จัดเป็นแมงกะพรุนจำพวกจำพวกแมงกะพรุนกล่อง หรือ คูโบซัว
แมงกะพรุนอิรุคันจิชนิด Malo kingi ในหลอดพลาสติกใส
โดยแมงกะพรุนอิรุคันจินั้นจะเป็นแมงกะพรุนที่มีขนาดเล็ก มีความยาวเพียงไม่เกิน 1 เซนติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 1 ออนซ์ มีลำตัวโปร่งใส และมีหนวดที่มีเข็มพิษจำนวนมากมายที่มีพิษต่อระบบโลหิต โดยจะทำให้โลหิตเป็นพิษ และเสียชีวิตได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แมงกะพรุนที่อาจเรียกได้ว่าเป็น แมงกะพรุนอิรุคันจินั้นแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด คือ Carukia barnesi, Malo kingi, Alatina alata และชนิดใหม่ คือ Malo maxima (หรืออาจจะมีมากได้ถึง 6 ชนิด)
โดยชื่อ "อิรุคันจิ" นั้นมีที่มาจากชาวเผ่าอิรุคันจิ ชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลียที่มีตำนานเล่าขานต่อกันมาเกี่ยวกับความเจ็บปวดและอันตรายของแมงกะพรุนจำพวกนี้หากได้สัมผัสเข้า
แมงกะพรุนอิรุคันจิ ได้ถูกศึกษาครั้งแรกทางวิทยาศาสตร์ในราวคริสต์ทศวรรษที่ 1960 โดยนักวิทยาศาสตร์ที่เคยถูกพิษของมันแทงเข้า ได้ลงไปจับในทะเลทางตอนเหนือของออสเตรเลียเพื่อศึกษา
เดิมทีแมงกะพรุนอิรุคันจิ เผยกระจายพันธุ์แต่เฉพาะทางตอนเหนือของออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันได้มีรายงานพบในหลายพื้นที่มากขึ้น เช่น ฮาวาย, ญี่ปุ่น, ฟลอริดา รวมถึงในประเทศไทย
พิษของแมงกะพรุนอิรุคันจิ ทำให้ผู้ที่โดนเข็มพิษของแมงกะพรุนจำพวกนี้แทงถูกมีอาการที่เรียกว่า "อาการอิรุคันจิ" (Irukandji syndrome)
การพบในไทย
แมงกะพรุนอิรุคันจิถูกรายงานพบครั้งแรกในน่านน้ำไทย เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ถูกเข็มพิษของแมงกะพรุนทิ่มหลายรายในปี พ.ศ. 2551 โดยที่บางรายถึงกับเสียชีวิตทันที และมีนักท่องเที่ยวรายหนึ่งที่เกาะหมาก จังหวัดตราด ยืนยันว่าลูกชายของตนถูกพิษจากแมงกะพรุนอิรุคันจิเข้าจนอาการสาหัส ทางการของไทยจึงทำการศึกษาและตรวจสอบเรื่องนี้อย่างทันที
จากนั้นจึงมีการเปิดเผยขึ้นในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน จากหัวหน้าสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต ว่าเป็นแมงกะพรุนอิรุคันจิจริง ซึ่งไม่เคยมีรายงานพบในประเทศไทยมาก่อน ด้วยว่าเป็นแมงกะพรุนชนิดใหม่ของโลกด้วย
ซึ่งพิษของแมงกะพรุนชนิดนี้นั้นเทียบเท่ากับหอยเต้าปูนและหมึกสายวงน้ำเงิน และเท่าที่ศึกษาพบว่า อยู่ในแหล่งน้ำตื้นของอ่าวไทย แต่ปริมาณที่พบยังไม่มากนัก ซึ่งโดยปกติแล้วจะพบมากที่ออสเตรเลีย
ชนิดใหม่ล่าสุดคือ Keesingia gigas มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ และไม่มี tentacle พบทีออสเตรเลีย